หนึ่งพัน หนึ่งเคส: เจาะลึกผลงาน ‘กัน จอมพลัง’ ผู้ช่วยประเทศทุกหัวมุม

กัน จอมพลัง หรือชื่อจริง กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ เกิดและเติบโตในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยหรือมีนามสกุลดังอะไรเป็นพิเศษ โดยก่อนหน้าที่จะกลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ช่วยผู้ที่เดือดร้อนในสังคม เขาเริ่มต้นจาก “ร้านบะหมี่ชามยักษ์” ซึ่งใช้ชื่อแบรนด์ว่า “บะหมี่จอมพลัง” เป็นจุดขายที่โดดเด่น

ร้านบะหมี่ของกันได้รับความสนใจจากสื่อและโซเชียลมีเดีย เนื่องจากการจัด “ท้ากินชามยักษ์” และแนวคิดที่แปลกใหม่ในตลาดก๋วยเตี๋ยวไทย

จากตรงนั้น เขาได้เข้าไปพัวพันกับธุรกิจอื่นๆ และเริ่มยกระดับบทบาทของตนเองจากพ่อค้าธรรมดา สู่ “อินฟลูเอนเซอร์ช่วยเหลือคน” ที่สังคมพูดถึงอย่างกว้างขวาง

ทำไมกันจึงเริ่มช่วยเหลือคนในวงกว้าง

เบื้องหลังจุดเปลี่ยน

เส้นทางชีวิตของกันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป — เขาเคยถูกโกงจากลูกน้อง เคยประสบปัญหาธุรกิจ และที่สำคัญคือ “รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม” ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง

ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน เขาเล่าว่า เมื่อธุรกิจร้านบะหมี่เริ่มมีชื่อเสียง ก็มีดราม่าเข้ามา เช่น เรื่องสุขอนามัยของร้าน การใช้พื้นที่สาธารณะ และการใช้รถของตำรวจ ซึ่งกลายเป็นจุดที่เขาตัดสินใจว่า “จะช่วยคนที่ไม่มีโอกาส”ให้มากขึ้น

ความตั้งใจที่ชัดเจน

ภายใต้ภาพลักษณ์ “อินฟลูเอนเซอร์” กันเองเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาทำงานช่วยเหลือคนที่ไม่ได้รับสิทธิหรือเสียงในสังคม และไม่ได้ทำเพียงเพื่อภาพลักษณ์

ผลงานช่วยประเทศของกัน จอมพลัง

เคสช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส

– ในช่วงโรคระบาด โควิด‑19 กันและทีมได้ร่วมจัดซื้อรถพยาบาล เตียงคนไข้ และถังออกซิเจน เพื่อช่วยผู้ป่วยในพื้นที่ที่เข้าไม่ถึงบริการ
– เขาเปิดบัญชี “มูลนิธิ กันจอมพลังช่วยสู้” เพื่อระดมเงินสนับสนุนเด็ก สตรี ผู้ประสบภัย และผู้ที่เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ โดยมีการประกาศเบื้องต้นผ่านหน้าเพจ Facebook
– เคสเด็ก 14 ขวบและ 4 ขวบ ที่ถูกทำร้าย เป็นหนึ่งในเคสที่สื่อหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของการที่กันเข้าไปช่วยเหลือถึงพื้นที่จริงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

เคสที่ชนอำนาจและสร้างกระแส

– กันลงพื้นที่และ “เปิดโปง” ขบวนการขอทานที่อาจเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการจับตามองจากสังคม
– มีการนำคลิปสด (Live) ผ่านโซเชียลมีเดียของเขา เพื่อไล่ตามเคสผู้มีอิทธิพลหรือคนที่ถูกเอาเปรียบ ทำให้เขากลายเป็น “ตัวละคร” ที่ทั้งได้รับการยกย่องและถูกตั้งคำถามในเวลาเดียวกัน

ธุรกิจและการเงินที่รองรับการช่วยเหลือ

– กันดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด และ บริษัท ไทยคิงเทค จำกัด ซึ่งรายงานว่าเคยมีรายได้ระดับหลายสิบล้านบาท 
– รายงานจากสำนักข่าวระบุว่า 2 บริษัทของกันมีรายได้เกือบ 60 ล้านบาทในปีหนึ่ง
– ด้วยฐานธุรกิจและการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ทำให้เขามีโอกาสในการระดมทุนและเข้าถึงทรัพยากรเพื่อใช้ในการช่วยเหลือได้มากขึ้น

กระแสสังคม: ชื่นชม vs ตั้งคำถาม

เสียงชื่นชม

– สื่อและประชาชนจำนวนหนึ่งมองว่า กันเป็น “ผู้แทนของผู้ไม่มีเสียง” ที่กล้าเข้าไปช่วยเหลือคนตัวเล็กตัวน้อย 
– การลงพื้นที่จริง และเปิดคลิปสด ทำให้ผู้ติดตามรู้สึกว่าได้เห็น “ของจริง” ไม่ใช่แค่คำพูด

เสียงตั้งคำถาม

– มีข้อครหาว่า “ช่วยเพื่อภาพ” หรือ “หิวแสง” – กันเคยถูกถามว่าทำไมช่วยแล้วต้องมีการไลฟ์สด หรือโพสต์เยอะ ๆ
– ดราม่าจากธุรกิจของเขาเอง เช่น เรื่องสุขอนามัยร้านบะหมี่ การใช้รถของตำรวจ จนถูกวิจารณ์ว่า “ผู้ช่วยคน” อาจไม่โปร่งใสเสมอไป
– ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลทางการเมืองบางคนถูกตั้งคำถามว่าเขามี “แผนการทางการเมือง” อยู่เบื้องหลังหรือไม่ มิติของความช่วยเหลือ: จากจิตอาสาไปสู่ระบบ

การยกระดับจากการช่วยแบบจุด ๆ เดียว

ไม่ใช่แค่ “ช่วยครั้งเดียว” แต่กันพยายามขยับจากการช่วยแบบเป็นรายเคส ไปสู่การมีองค์กร/มูลนิธิที่สามารถรองรับและตอบสนองได้อย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิ กันจอมพลังช่วยสู้ ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลาง กลางพื้นที่” สำหรับคนที่เดือดร้อน

การสร้างช่องทางสื่อและโลจิสติกส์

การใช้โซเชียลมีเดีย ไลฟ์สด และการเดินทางถึงพื้นที่ช่วยเหลือจริง เป็นการเพิ่มความโปร่งใส (หรือที่ถูกมองว่าเป็นการแสดง) แต่ยังช่วยให้ “ผู้ถูกช่วย” ได้รับการมองเห็น ซึ่งในหลายกรณีช่วยกระตุ้นหน่วยงานรัฐหรือองค์กรเอกชนเข้ามาร่วมได้เร็วขึ้น

ความยั่งยืนของการช่วยเหลือ

แม้จะมีบทบาทที่เติบโตเร็ว แต่คำถามหนึ่งคือ “แล้วต่อจากนี้?” การที่จะยั่งยืน อาจต้องมีโครงสร้างที่มั่นคง ยืนได้มากกว่าแค่ชื่อเสียงหรือคลิปไวรัล และต้องมีการวัดผลหรือการจัดระบบว่า การช่วยเหลือได้ผลจริงหรือไม่

ผลกระทบที่เกิดขึ้น

ต่อตัวผู้ถูกช่วย

สำหรับผู้ที่อยู่ในความเดือดร้อน เช่น ผู้ประสบภัย ผู้ลำบาก คนไร้โอกาส สิ่งที่กันทำคือ “โอกาส” และ “เสียง” — โอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือ และเสียงที่จะทำให้ปัญหาของพวกเขาถูกยกขึ้นสู่สาธารณะ

ต่อตัวเองและแบรนด์

กันได้เปลี่ยนภาพลักษณ์จากพ่อค้าธรรมดาเป็น “ผู้ช่วยสังคม” ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ธุรกิจใหม่ โอกาสใหม่ และสังคมใหม่ แต่ก็ต้องแลกด้วยความคาดหวังสูงและการถูกจับตามอง

ต่อสังคมและสื่อ

บทบาทของกันแสดงให้เห็นว่า “อินฟลูเอนเซอร์” หรือบุคคลทั่วไปสามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เรื่องราวของเขถูกพูดถึงในสื่อหลายช่องทาง และกลายเป็นตัวอย่างของคนที่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อผู้ด้อยโอกาส THE STANDARD+1

เปิดประวัติ กัน จอมพลัง ชีวิตเบื้องหลัง จากพ่อค้าบะหมี่สู่อินฟลูฯ  นักเคลื่อนไหวทางสังคม

ความท้าทายที่ยังรออยู่

ความโปร่งใสและตรวจสอบได้

เมื่อมีบทบาทช่วยเหลือสังคมมากขึ้น ระบบการบริหารจัดการ การเงิน และผลลัพธ์ย่อมถูกจับตามองมากขึ้น — หากไม่มีความโปร่งใส จะเกิดข้อครหา เช่น “ช่วยเพื่อภาพ” “ช่วยแล้วหายไป” หรือ “ช่วยแล้วไม่มีผล”

ความต่อเนื่องของการช่วยเหลือ

การช่วยเฉพาะจุดไม่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงระยะยาวได้ การจะมีผลแบบยั่งยืน อาจต้องมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กร NGO หรือชุมชน เพื่อสร้างระบบที่ทำงานได้จริง

เส้นแบ่งระหว่างช่วยเหลือและการเมือง

ด้วยความที่กันมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจและมีการถูกจับตามองว่าอาจเกี่ยวข้องกับการเมือง จึงมีความเสี่ยงที่บทบาท “ผู้ช่วยเหลือ” จะถูกตีความว่าเป็น “ตัวแทนทางการเมือง” หรือ “เครื่องมือทางสังคม” หากไม่ระวัง

บทบาทที่ขยายกว้างแต่ทรัพยากรจำกัด

แม้จะได้รับการสนับสนุนหลายด้าน แต่ทรัพยากร (เงิน เวลา ทีมงาน) ย่อมมีจำกัด เมื่อขอบเขตการช่วยเหลือขยายมากขึ้น การวางแผนและจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สรุป

ผลงานช่วยประเทศของกัน จอมพลัง ถือว่าโดดเด่นในบริบทของบุคคลทั่วไปที่ลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อสังคมอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการเป็นพ่อค้าขายบะหมี่ ไปสู่ผู้ช่วยผู้คนที่ถูกทอดทิ้ง และกลายเป็นแบรนด์ส่วนบุคคลที่มีบทบาททางสังคม

ถึงแม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และดราม่าอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ “พลัง” และ “การกระทำ” ที่เขาลงมือทำจริง หลายเคสและหลายจุดในสังคมได้รับโอกาสหรือการเหลียวแลมากขึ้นเพราะเขา

หากกันสามารถเสริมความโปร่งใส สร้างระบบช่วยเหลือที่ยั่งยืน และรักษาภาพลักษณ์ของความจริงใจได้ การอยู่ต่อในบทบาทผู้ช่วยสังคมของเขาจะมีความหมายมากกว่าแค่ “ช่วยครั้ง” จะกลายเป็น “ระบบที่สามารถช่วยได้หลายครั้ง” และอาจกลายเป็นต้นแบบของคนที่ใช้พลังส่วนบุคคลสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม


FAQ

Q1: กัน จอมพลังช่วยอะไรบ้างในช่วงโควิด-19?
A1: เขาและทีมได้ร่วมจัดซื้อรถพยาบาล เตียงผู้ป่วย และถังออกซิเจน ให้แก่ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 หรือได้รับผลกระทบจากการระบาด Amarin TV

Q2: เงินทุนของงานช่วยเหลือของกันมาจากไหน?
A2: นอกจากธุรกิจร้านบะหมี่แล้ว กันยังเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด และ บริษัท ไทยคิงเทค จำกัด ซึ่งมีรายได้หลายสิบล้านบาท Isranews+2www.sanook.com+2

Q3: มีใครวิจารณ์งานช่วยเหลือของกันบ้างไหม?
A3: มี — เช่น มีการตั้งคำถามว่าเขาช่วยเพื่อภาพ (หิวแสง) หรือเพื่อทำธุรกิจของตนเอง อีกทั้งดราม่าธุรกิจร้านบะหมี่สุขอนามัยไม่ดี หรือการใช้รถตำรวจเพื่อส่วนตัวก็มี แนวหน้า+1

Q4: กัน จอมพลังจะเข้าสู่การเมืองไหม?
A4: แม้จะมีข่าวว่าถูกทาบทามเข้าสู่สนามการเมือง และมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองบางคน แต่กันเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่อยากเล่นการเมือง และอยากอยู่ในบทบาทผู้ช่วยเหลือสังคมมากกว่า THE STANDARD+1

Q5: งานช่วยเหลือของกันมีการตรวจสอบหรือระบบอย่างไร?
A5: แม้จะมีการเปิดบัญชีมูลนิธิและโพสต์การช่วยเหลือหลายเคส แต่ยังไม่มีข้อมูลกว้างว่าเขามีระบบตรวจสอบภายในที่เป็นมาตรฐานหรือเปิดเผยรายงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ถูกจับตามอง

Q6: ทำไมกันถึงได้รับความสนใจมากในสังคมไทย?
A6: เพราะเขาเป็นตัวอย่างของคนธรรมดาที่ “กล้า” ลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนที่ไม่มีเสียง และเขาใช้ช่องทางสื่อโซเชียลในการสื่อสารอย่างเปิดเผย ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเห็นภาพจริงของการช่วยเหลือ Spring News+1

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *